Thursday, February 6, 2014

ทุ่งหินบิสไท ทุ่งหินร้างโบราณในรัฐนิวเม็กซิโก


หากพูดถึงสถานที่รกร้าง ดินแดนแห่งความว่างเปล่า ทุรกันดาร สิ่งแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร แต่ถ้าบอกว่าสถานที่รกร้างหรือดินแดนแห่งความ น่าสะพรึงกลัวนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากๆ คุณจะเชื่ออย่างที่เราบอกไปหรือเปล่านะ

ทุ่งหินบิสไท (Bisti) หรือ เดนาซินไวล์ดเดอเนส (De-Na-Zin Wilderness) คืออีกหนึ่งดินแดนแห่งความรกร้างที่ได้รับการยอมรับว่าน่ากลัวและไม่เหมาะ แก่การไปเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่ทว่ากลับเป็นที่น่าแปลกใจสุดๆ เมื่อทุ่งหินร้างดังกล่าวนั้นได้มีนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบ ผจญภัยเดินทางไปเยือนอย่างไม่ขาดสาย

ทุ่งหินร้างบิสไท หรือ บิสไทไวล์ดเดอเนส ทุ่งหินร้างที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้มาเยือนได้เป็นอย่างมาก เป็นเขตป่าหินรกร้างใกล้ๆกับเมืองซานฮวน (San Juan County) เมืองท่องเที่ยวเล็กๆในรัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) ของสหรัฐอเมริกา (United States of America) โดยทุ่งหินร้างบิสไทนั้นครอบ คลุมพื้นที่กว่า 45,000 เอเคอร์ ภายในป่าหินจะได้พบกับกลุ่มหินที่มีรูปร่างแปลกประหลาด ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำจากหลักฐานทางธรณีวิทยาทำให้ทราบว่าเดิมทีนั้น พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลโบราณมาก่อนสามารถวัดอายุได้มากกว่า 70 ล้านปี

นักวิทย์หวั่นขยะอวกาศล้อมโลก ญี่ปุ่นจ่อส่งยานขึงตาข่ายแม่เหล็กเก็บกวาด


เว็บ ข่าว "เอ็กซ์ตรีมเทค" รายงานว่า องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (จาซ่า)
กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมแผนปฏิบัติการเก็บกวาดขยะอวกาศปริมาณมหาศาลที่โคจร อยู่รอบโลก โดยมีแผนจะส่งยานอวกาศขึ้นไปขึงตาข่ายยักษ์ที่จะดูดเอาขยะอวกาศเหล่านี้ อันเกิดจากการส่งยานอวกาศและดาวเทียมตลอดศตวรรษที่ผ่านมาของมนุษย์มาติดไว้ ที่ตาข่ายแล้วโยนทิ้งไปในอวกาศ หรือปล่อยกลับลงมาให้ถูกเผาไหม้ทิ้งไปในบรรยากาศของโลก รายงาน ระบุว่า ปัจจุบันองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซ่า) กำลังจับตาขยะอวกาศเหล่านี้กว่า 2 หมื่นชิ้น

(ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 5 เซนติเมตร) และยังมีชิ้นเล็กๆ อีกกว่า 5 แสนชิ้นที่ตรวจจับไม่ได้ โดยขยะอวกาศเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ดาวเทียมต่างๆ และสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) ซึ่งหากมนุษยชาติยังนิ่งดูดายจะส่งผลให้ต่อไปขยะเหล่านี้ชนกันเองและแตกออก เป็นชิ้นเล็กๆ จนปริมาณของมันมหาศาลถึงขนาดที่มนุษยชาติจะไม่สามารถส่งยานอวกาศอะไรออกไป นอกโลกได้อีก ตามคำพยากรณ์ของนายโดนัลด์ เคสเลอร์ นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่า ที่เคยกล่าวไว้ในปี 2530 ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามคิดค้นวิธีการกำจัดขยะอวกาศเหล่านี้

ด้าน จาซ่า ซึ่งประกาศจับมือกับนิตโตะ เซย์โม ผู้นำด้านการประมงของญี่ปุ่น พัฒนาตาข่ายพลังอะลูมิเนียม-เหล็กกล้า
ที่สามารถเป็นพาหะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำหน้าที่ดูดเอาขยะโลหะที่ล่องลอยอยู่รอบโลกมาตรึงไว้ที่ตาข่าย โดยขณะนี้ยานอวกาศดังกล่าวลำแรกถูกส่ง ขึ้นไปแล้ว มีตาข่ายยาว 700 เมตร หากผลการทดสอบเป็นที่น่าพอใจ ทางจาซ่าพร้อมจะส่งยานอวกาศพร้อมตาข่ายไฮเทคยาว 10 กิโลเมตรขึ้นไปโคจรเก็บกวาดขยะเหล่านี้รอบโลกทันที


Sunday, February 2, 2014

ทำไมประเทศพม่าถึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเมียนม่า เรามีคำตอบ!

          หลายคนคงจะรู้กันดีว่า ประเทศพม่า หรือ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Republic of the Union of Myanmar) มีชื่อเดิมว่า Burma ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อประเทศมาเป็น Myanmar ในภายหลัง ซึ่งมีความหมายถึงการเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว


          เนื่องจากคำว่า Burma นั้นหมายถึงชนชาติพม่า ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ในพม่าเพียงกลุ่มเดียว แต่อย่างที่ทราบกันว่าประเทศเมียนมาร์ นั้นมีชนกลุ่มน้อยอีกหลายชาติพันธุ์ เช่น ไทยใหญ่, มอญ, ชิน อาศัยอยู่รวมกัน จึงต้องเปลี่ยนให้ดูเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น
แต่หลังจากปี 1989 ที่เปลี่ยนชื่อประเทศครั้งแรก ปรากฏว่านานาชาติก็ยังคงไม่ยอมรับการเปลี่ยนชื่อ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา รวมถึงนางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้าน ที่ปฏิเสธการเรียกชื่อใหม่ เพราะมองว่ารัฐบาลทหารไม่สอบถามความเห็นของประชาชนก่อน

          เป็นเรื่องขำขันเล็กน้อย เมื่อในอดีต ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายบารัก โอบาม่า จะใช้คำว่า เมียนมาร์ เมื่อพบกับประธานาธิบดีเต็งเส่ง และใช้คำว่า เบอร์ม่า เมื่อพบกับนางอองซาน ซูจี
แต่ภายหลังที่พม่าเปิดประเทศมากขึ้น นานาชาติรวมถึงสหรัฐอเมริกาเองก็ตัดสินใจเรียกพม่าด้วยชื่อทางการว่า เมียนมาร์ (Myanmar) เหมือนว่าเริ่มยอมรับในประเทศเมียนมาร์มากขึ้น จึงถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศนี้ ที่น่าจับตามองเลยทีเดียว

ที่มา: posttoday


ไทยเริ่มนับเวลาแบบสากลครั้งแรกเมื่อใด


             เดิมประเทศไทยนับเวลาตอนกลางวันเป็นโมง ตอนกลางคืนเป็นทุ่ม ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงให้เปลี่ยนมาเรียกว่านาฬิกาและนับเวลาทางราชการใหม่ให้สอดคล้องกับธรรมเนียมสากลนิยม โดยให้ถือเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นวันรุ่งขึ้นหรือวันใหม่ จึงถือว่าไทยเริ่มนับเวลาแบบสากลครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 6


พีระมิดที่จริงแล้วเป็นสีขาว!

พีระมิดที่จริงแล้วเป็นสีขาว
พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่เราเห็นกันทุกวันนี้ เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ทำมาจากก้อนหินสีน้ำตาลวางต่อกันขึ้นไปเป็นขั้นบันได ความยิ่งใหญ่และเทคนิคในการสร้างอันน่าทึ่งทำให้พีระมิดนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนมาหลายยุคหลายสมัย แต่คุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วเมื่อก่อน พีระมิดมีพื้นผิวเรียบ และเป็นสีขาวสว่างไสว แบบที่เราคิดไม่ถึงมาก่อน .. พีระมิดที่จริงแล้วเป็นสีขาว

ภาพจำลองพีระมิดแห่งกิซ่าในสมันก่อน

พีระมิดที่จริงแล้วเป็นสีขาว
พีระมิดที่เราเห็นเป็นหินก้อนใหญ่ๆ สีน้ำตาลนั้น จริงๆ แล้วเป็นส่วนโครงสร้างภายในของพีระมิด ส่วนภายนอกของจริงนั้นเป็นหินปูนสีขาวที่เรียกว่า Tura limestone วางซ้อนบนชั้นหินเอาไว้
ชาวอียิปต์โบราณนั้นให้ความสำคัญกับคนตายมาก โดยเฉพาะพีระมิดที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บพระศพของฟาร์โรห์ที่เป็นคนสำคัญที่สุด จะต้องสร้างให้ใหญ่โตและเด่นชัดยิ่งกว่าสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ดังนั้น พีระมิดสีขาวนี้จะถูกขัดจนเงาวับสะท้อนแสงแดดโด่ดเด่นอยู่กลางทะเลทราย ว่ากันว่า พีระมิดนี้สว่างจ้าเสียจนสามารถเห็นได้จากระยะทางไกลหลายไมล์ แม้แต่ตอนกลางคืนก็ยังสามารถสะท้อนแสงดวงจันทร์จนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนในความมืด

ภาพแสดงการวางหินปูนสีขาวซ้อนทับโครงสร้างหินภายใน

หินปูนสีขาวที่ใช้วางบนพื้นผิวหน้าของพีระมิดเป็นหินขนาดประมาณ กว้าง 5 ฟุต ยาว 5 ฟุต และลึก 6 ฟุต และหนักประมาณ 15 ตัน ด้านของหินที่หันออกนั้นจะถูกตัดให้เรียบเสมอกันเพื่อที่เวลาเอามาวางต่อๆ กันแล้วจะได้ดูเหมือนเป็นชิ้นเดียวกัน และจะได้สามารถสะท้อนแสงได้ดีที่สุด นอกจากนั้น บนส่วนยอดสุดของพีระมิดก็จะห่อหุ้มไว้ด้วยทองคำ หรือโลหะสีทอง
ยังมีเศษหินปูนสีขาวหลงเหลือที่ฐานของพีระมิดอยู่บ้าง

สาเหตุที่พีระมิดมีสภาพเหลืออยู่แค่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ก็เพราะยุคหลังจากนั้นพื้นผิวหินปูนส่วนใหญ่ถูกตัดออกไปใช้ทำสิ่งก่อสร้างอื่น เช่น ในยุคของสุลต่าน An-Nasir Nasir-ad-Din al-Hasan (Bahri Sultan An-Nasir Nasir-ad-Din al-Hasan) ก็มีการนำหินปูนจากพีระมิดแห่งกิซ่าไปใช้ในการสร้างมัสยิดในกรุงไคโร ส่วนหินปูนที่เหลืออยู่บนพีระมิดก็สึกกร่อนไปตามเวลา อีกทั้งเคยมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้ผิวหน้าของพีระมิดกร่อนอย่างหนักกลายเป็นเศษฝุ่นกองอยู่ที่พื้นรอบๆ พีระมิด และถูกลมพัดพาไป อย่างไรก็ตาม ยังมีบางส่วนของหินปูนสีขาวหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างตรงพื้นส่วนฐานของหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า

ที่มา Cracked , ancientegypt , factsfootprint,everyday-readers


Tuesday, January 28, 2014

10 อันดับประเทศที่มีมรดกโลกมากที่สุดในเอเชีย

1. ประเทศจีน 41 แห่ง



2. ประเทศอินเดีย 27 แห่ง

ทัชมาฮัล เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

3. ประเทศญี่ปุ่น 16 แห่ง

ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

4. ประเทศอิหร่าน 

Tchogha Zanbil เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

5. ประเทศเกาหลีใต้ 10 แห่ง

เกาะเชจู เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ

6. ประเทศศรีลังกา 8 แห่ง

นครประวัติศาสตร์สิคิริยา เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

6. ประเทศไทย 8 แห่ง

นครประวัติศาสตร์อยุธยาและเมืองบริวาร เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

6. ประเทศรัสเซีย (ส่วนเอเชีย) 8 แห่ง

ทะเลสาบไบคาล เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ

7. ประเทศอิสราเอล 7 แห่ง

มาซาดา เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

7. ประเทศอินโดนนิเซีย 7 แห่ง

กลุ่มวัดบุโรพุทโธ เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

7. ประเทศเวียดนาม 7 แห่ง

หมู่โบราณสถานเมืองเว้ เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

8. ประเทศปากีสถาน 6 แห่ง

ตักสิลา เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

10. ประเทศเนปาล 4 แห่ง

หุบเขากาฐมาณฑุ เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

10. ประเทศอุซเบกิสถาน 4 แห่ง

ซามาร์คันด์ เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม

และมีผลการจัดอันดับนะคะว่า มรดกโลกที่เสี่ยงจะถูกทำลายที่สุด ประเทศเราคืออันดับ 1 เลยนะ มาช่วยกันรักษาไว้กันเถอะ ให้มันอยู่นานๆ คนไทยเท่านั้นคือผู้ที่จะกำหนดให้มันอยู่ไดด้นานขนาดไหน :)

Wednesday, January 8, 2014

Lan Hin Pum Lan Hin Teak

          อากาศร้อนๆ ฝนๆ แบบนี้ถ้ายังไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปเที่ยวที่ไหนหรือยังไม่มีแผนการในใจ ลองไปเที่ยว “อุทยานแห่งชาติภูหินล่องกล้า” กันมั้ยค่ะ สถานที่ซึ่งมีเรื่องราว และประวัติศาสตร์มากมายที่รอคอยให้นักท่องเที่ยวทุกคนไปค้นหา ซึ่งการเดินทางไปเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูหินล่องกล้าในครั้งแรกนี้ เราเลือกที่จะเริ่มเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ กันก่อนแห่งชาติภูหินล่องกล้า กินพื้นที่คาบเกี่ยว 3 จังหวัดได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และ เลย ซึ่งนอกจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน มีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ยังมีความมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาที่เกิดจากการเคลื่อนและยกตัวของแผ่นเปลือก โลก ทำให้เกิด “ลานหินปุ่ม” เป็นลานกว้างโดยมีหินขึ้นตะปุ่มตะป่ำกระจายอยู่เต็มลาน หินที่ว่านี้มีลักษณะเป็นเสาหินกลมมนเตี้ยๆเรียงกันเป็นแถวอย่างน่าดู โดยปุ่มหินดังกล่าวมีความสูงเพียง15 เซนติเมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตร และด้วยความที่ลานหินปุ่มนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของอุทยานแห่งชาติฯ จึงนับเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง ถัดจากลานหินปุ่มนั้น เราเดินต่อมาอีกประมาณ 500 เมตร ก็จะพบกับ “ผาชูธง” สถานที่ที่ พรรคคอมมิวนิสต์ในอดีตใช้ในการชูธงฆ้อนเคียวผืนสีแดง ยามที่รบชนะฝ่ายรัฐบาลเป็นเหมือนการประกาศให้ผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันมี ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้น บริเวณนี้เป็นหน้าผาสูง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบแบบ 360 องศาแต่การขึ้นไปบริเวณผาชูธงนี้ควรใช้ความระมัดระวังด้วย เนื่องจากเป็นพื้นที่ค่อนข้างแคบ
 



หลังจากที่เราชมวิวบริเวณผาชูธงแล้ว จุดถัดมาก็จะเป็น “ซันแครก” บริเวณลานกว้างที่มีร่องรายทางประวัติศาสตร์ของการต่อสู้จารึกไว้ให้เราได้ เห็นเช่น รอยหลุมระเบิดและรอยกระสุนปืนที่เป็นในช่วงการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ รวมถึงป้อมปืนต่อสู้อากาศยานที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางลาน ซึ่งที่บริเวณนี้นอกจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์การเมืองที่มีความสำคัญ แล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือ ซันแครก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่ง อันเกิดการจากการบีบอัดและยกตัวของผิวโลก สันนิษฐานว่าพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน และเมื่อเวลาผ่านไปทั้งแสงแดด สายลม น้ำฝน รวมถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงระหว่างกลางวันและกลางคืน ทำให้หินบริเวณนี้เกิดรอยแตกเป็นชั้นๆ คล้ายเกล็ดปลาเรียงตัวกันสูงกว่า 2 เมตรการเดินเที่ยวชมไปตามจุดต่างๆ นี้ ต้องบอกว่าเรียกเหงื่อกันได้อยู่พอสมควร แต่อย่าเพิ่งหมดแรงกันซะก่อน เพราะเราจะพาไปเที่ยวกันต่อที่ “ลานหินแตก” ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบริเวณลานหินปุ่มมากนัก


ที่ลานหินแตกนี้เป็นลานหินที่มีบริเวณกว้างถึง 40 ไร่เลยทีเดียว โดยจุดเด่นของลานหินนี้ก็เป็นไปตามชื่อเรียกนั่นคือ รอยแยกของลานหินเป็นร่องลึก ดูคล้ายกับแผ่นดินนั้นแยกออกจากกัน รอยแตกนี้บางร่องก็มีขนาดกว้างพอให้ก้าวข้ามได้ ในขณะที่บางรอยก็กว้างจนเราต้องเดินอ้อมไกลออกไป ส่วนความลึกนั้นไม่สามารถคาดคะเนได้ แต่ด้วยลักษณะเช่นนี้จึงทำให้ความชื้นในบริเวณนี้มีมากกว่าที่อื่นๆ ในบริเวณใกล้กัน ทำให้มีพวกไลเคนมอสส์เฟิร์นดอกไม้ป่า และกล้วยไม้นานาชนิดแปลกตาผลัดเปลี่ยนกันตามฤดูกาลให้เราได้ชมอีกด้วยนอกจากนี้ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติภูหินล่องกล้า ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกมากมายเช่นพิพิธภัณฑ์ การสู้รบ,โรงเรียนการเมืองการทหาร, กังหันน้ำ, สำนักอำนาจรัฐ, โรงพยาบาลรัฐ, ลานอเนกประสงค์, สุสาน ทปท.ที่หลบภัยทางอากาศและหมู่บ้านมวลชน เป็นต้น